4  พฤติกรรม ที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

การหมั่นบ่มเพาะภูมิคุ้มกันในร่างกายเราให้มีแข็งแรงตลอดเวลานั้น เปรียบเสมือนกับการฝึกกำลังพลทหารในยามศึกสงคราม ยิ่งในยุคนี้กองทัพสตรูมีอนุภาพมาก ด้วยกำลังพลจำนวนนับล้าน ที่ถือหอกยาวแหลมพร้อมโจมตีไปที่ปอดของเรา

ใช่แล้วครับสตรูยุคนี้ที่ว่ามันคือกองทัพ ไวรัสโควิด 19

ปกติในการสงครามยุคใหม่ ฝั่งรุกไม่โจมตีโดยตรง แต่จะพยายามบุกเข้าไปทำลายสิ่งสำคัญในเมือง เช่นโรงงานผลิตเสบียง การขนส่ง หรือศูนย์บัญชาการ แต่ดูเหมือนกองทับโควิดมันจะอยากโจมตีโรงงานผลิตเสบียงเป็นพิเศษ

นั่นก็คือปอดของเราที่ต้องผลิตหรือฟอกอากาศเพื่อนำใปเลี้งเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย มันรู้ว่าถ้ามันจัดการตรงนี้ได้ งานมันจะง่ายขึ้น  เพราะฉนั้นสิ่งที่ฝั่งรับ นั่นคือมนุษย์อย่างพวกเราต้องทำคือ ฝึกพลกำลังให้แข็งแกร่งกว่ารับศึกที่ยิ่งใหญ่นี้

ตอนนี้ข้างนอกมีเชื้อโควิดเต็มไปหมด ในทุกๆวัน อาจจะมีในรถไฟฟ้า ห้าง บนถนน อาคารออฟฟิต ตลาด ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า มันจะแอบลอดเข้ากำแพงเมือง (หน้ากากอนามัย) เราวันไหน

การบูทภูมิคุ้มกันของเรานั้นหลักๆคือการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19  ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะฉนั้นในวันนี้ผมจะมาพูดถึงอีกด้านหนึ่งที่หลายคนมองข้าม แต่สำคุณไม่แพ้กันคือ การหลีดเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันคุณอ่อนแอ่ลง

เครียดบ่อย เครียดทุกวัน

เข้าใจว่าปัญหาความเครียดเป็นอะไรที่แก้ยากมากปัญหาหนึ่ง เพราะมันเป็นปัญหาที่อยู่ในสมองของเรา เอาออกมาไม่ได้  ซึ่งมันก็มีหลายๆระดับถ้าความเครียดระดับเบาบาง (lite stress) ก็ยังดีหน่อย แถมยังทำให้เรามีแรงจูงใจจัดการกับปัญานั้นด้วย

แต่ถ้าเป็นความเครียดระดับหนัก หรือความเครียดที่เกิดคิดซ้ำๆทุกวันนี่ มันเป็นเหตุของปัญหาสุขภาพไม่รู้จบ ก่อกวนกระบวนการต่างๆของร่างกายและทำให้การทำงานของคุณยากขึ้นกว่าเดิม

ขั้นแรกให้คุณลองระบุเหตุของความเครียดนั้นดูว่ามีอะไรบ้างแล้วมีดูว่าพอมีขั้นตอนการแก้อย่างไร และลองจำลองเหตุการณ์ worst case scenario ดูและพิจารณาว่าคุณรับมันได้ และที่สำคัญ

อย่าเก็นมันไว้คนเดียว คุณต้องรีบปรึกษาใครสักคน  แต่มันก็มีความเครียดประเภทที่หาสาเหตุไม่ได้เช่นกัน เชื่อว่าน่าจะเป็นที่โฮโมน ในกรณีนี้มันอาจยากที่จะแก้ด้วยทัศนะคติเพราะเป็นเรื่องสารเคมีในสมอง

อาจต้องลองค่อยๆทำความเข้าใจว่านี่เป็นเพราะกลไกร่างกาย แต่ให้ clamdown ไว้ก่อน เข้าใจว่าการพยายามก้าวผ่านสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้นั้นยากมาก  แต่มันจะผ่านไปได้แต่คุณตั้งมันที่ผ่านมันไป ลองเปิดใจให้กับการนั่งสมาธิ การบำบัดดูก็ดีเหมือนกัน

กินอาหารตามใจปาก

เพราะว่าอาหารส่วนใหญ่ที่มันอร่อยๆ มักเป็นอาหารหาประโยชน์ได้น้อย เช่นพวกขนมกรุบกรอบ มันทอดกรอบ น้ำหวานอดลม และพวกฟาสฟู้ด ขณะที่เขียนข้อความนี้อยู่ ผมเองก็ยังอยากจะกินมันเลยครับ

เพราะแหม๋ หลังหลักงานมาหนื่อยๆ ทั้งวันก็อยากจะหาอะไรสะใจๆมาวางข้างๆซักหน่อย ยิ่งวันสุดสัปดาห์ ได้นั่งจิบเบียร์กับเพื่อนด้วยนี่อย่างฟิน แต่ตามกฏของธรรมชาตืครับ เมื่อกินหวานติดกันบ่อยๆ ทีนี้ก็เหลือแต่เปรี้ยวให้กิน คือร่างกายที่อ่อนแอลงนั่นเองครับ

สมัยก่อนอาจเห็นผลนานหน่อย สมัยนี้คุณอ่อนแอปุ๊บคุณจะติดโดวิดป็บครับ และผมไม่ได้พูดเล่นๆนะครับ

แต่ไม่ใช่ว่าจะกินไม่ได้เลย แค่ควบคุมปริมาณให้พอดี โดยให้ค่าเฉลี่ยออกมายังเป็นอาหารที่ดีมากกว่าก็ถือว่าใช้ได้อยู่ครับ แต่ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมอาหารคุณได้จริง ด้วยปัจจัยอะไรก็แล้วแล้วแต่

จำได้ไหมครับว่าตอนเด็กๆเราชอบซื้อวิตามิน C มาอมเล่นกัน นั่นแหละครับพวกมิตามินเสริมต่างๆก็ยังพอช่วยเรื่องสารอาหารอยู่ครับ

ดื่มน้ำน้อยเกินไป

รู้ไหมครับว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายเราคือ น้ำ ใช่แล้วครับเราต้องการน้ำ ซึ่งทุกกระบวนการขับของเสียของร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำด้วย หากเราเอาน้ำเติมกลับเข้าไปน้อย ร่างกายก็จะขับถ่ายของเสียได้น้อย

และนั่นแหละครับประเด็น เมื่อขับของเสียได้น้อย ร่างกายเราก็จะอ่อนแอ่ลง แต่ยังดีที่มันง่ายมากที่จะแก้ไขเรื่องนี้

นั่นคือแค่คุณดื่มน้ำตามปริมาณที่เพียงพอ ก็แก้ได้แล้ว พกน้ำไว้กับเราเวลาออกไหนข้างนอกหรือไปทำงาน ดื่มมันทุกครั้งที่กระหาย น้ำปล่าวจะดีดีที่สุดครับ

นอนไม่พอ

มันเป็นสิ่งที่น่าล่อตาล่อใจแค่ไหนในการนั่งเล่นไปเรื่อยๆทั้งคืนในวันหยุดล่ะครับ ยิ่งคนที่บ้างาน ตอนกลางคืนนี่ถือว่าเป็นสรรค์ของเค้าเลย มีนักธุรกิจที่ประสปความสำเร็จหลายคนที่ทำงานวันล่ะ 18 ชั่วโมง ไม่หลับไม่นอน

แต่ความสำเร็จนั้นเป็นเพียงความสำเร็จด้านการเงิน ไม่ใช้ด้านสุขภาพ และความจริงก็คือสุขภาพก็เป็นตัวแปลหลักที่จะส่งผลต่องานอีกที ยกตัวอย่างง่ายๆครับ คุณลองอ่านหนังรวดเดียว 24 ชั่วโมงแล้วไปสอบดู ก็อาจจะทำข้อสอบได้ยากเพราะง่วง

เป็นไหมครับที่เรามักกำหนดเวลานอนไว้เพื่อให้นอนได้ 8 ชั่วโมงตามมาตรฐานของผู้ใหญ่ เช่นถ้าคุณต้องตื่น 6 โมงเช่น คุณก็จะกำหนดเวลานอนที่ 4 ทุ่ม

แต่พอถึงเวลานอน พอคุณขึ้นบนเตียงไหนจะปัดมือถืออีกครึ่งชั่วโมง และกว่าจะนอนหลับอีก เพราะเอฟเฟกจากแสงสีฟ้า อีกครึ่งชั่ว พอเที่ยงคืนก็ตื่นกลางดึกอีก 1 ชั่วโมง เพราะฝันว่าอักหัก  แล้วนอนต่อด้วยความง่วงในตอนเช้าตรู

และก็ต้องหงุดหงิด เมื่อเสียงนาฬกาปลูกดังขึ้นและบอกคุณให้ไปอาบน้ำ (เช้าวันใหม่แล้วหรือ ทำไมเร็วจัง) และคุณก็ขอหลัดอีก 5 นาทีเพราะยังง่วงนอนอยู่ และก็หลัดไปอีก 5 นาที  เห็นไหมว่าคุณได้เวลามาแค่ 10 นาที แต่เสียไป 2 ชั่วโมง

เบ็ดเสร็จ คุณได้นอนแค่ 6 ชั่วโมง 10 นาทีเอง แล้วที่สำคัญเหตุการณ์มันไม่ได้ถูกแก้ในวันต่อมา มันจะเกิดขึ้นอีกตลอดทั้ง 5วันในสัปดาห์นั้น ไม่ใช่สิ 4 วัน เพราะวันศุกร์คุณจะได้นอนตี 2

เห็นไหมครับว่ามันเป็นปัญหา (ใหญ่) ที่เรามักมองข้าม  

การอดนอนจะทำลายทั้งทางกายภาพและสุขภาพจิต และเมื่อร่างกายเรารับกับสิ่งนี้จนถึงขีดจำกัด ก็จะเริ่มส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของเราทันที ถ้ากลับไปดูต้นตอของปัญหา ก็จะพบว่า มันคือมือถือของเราเลยครับ

นักวิชาการหลายท่านก็แนะนำมาหลายครั้งแล้วว่าควรนำมือถือออกให้ไกลช่วงการเข้านอนของคุณ แค่นี้ก็ช่วยเพิ่มความสดชื่นเราในวันรุ่งขึ้นได้แล้วครับ เมื่อนอนหลับเพียงพอ เราก็รู้สึกดี และมันก็ง่ายที่จะสู้กับการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *