ณ บริษัทให้บริการด้านสุขภาพแห่งหนึ่ง โดยขณะนั้น ทางบริษัทกำลังทำวิจัยพฤติกรรมลูกค้า โดยบอกลูกค้าว่า ก่อนเริ่มคอร์ด ให้ลูกค้าลองวิ่งด้วยตัวเองก่อน 1 อาทิตย์ในตอนเช้า (ตอนนั้นลูกค้าทุกคนอยู่ในศูนย์ฝึกของบริษัทแล้ว)
โดยอ้างว่าเป็นการวอร์มอัพร่างกาย ซึ่งก็มีการจดบันทึกด้วย ปรากฏว่ามีทั้งลูกค้าที่วันแรกวิ่งได้ไกล 3 กิโลเมตร บางคนวิ่งได้ 1 – 2 กิโลเมตร และบางคนวิ่งได้ 300 ก็หอบกิน
หลังจากนั้นบริษัทก็เก็บข้อมูลไว้แล้วให้ลูกค้าทุกคนเข้าเริ่มคอร์ดได้เลย เหล่าลูกค้าก็ฝึกตามคอร์สไป ทำบ้างไม่ทำบ้าง จนจบคอร์สผลออกมาว่า พบว่า ลูกค้าหรือกลุ่มลูกฝึกที่ลดน้ำหนักได้ดีและมากที่สุด กลับไม่ใช่ลูกฝึกที่วิ่งได้ไกลที่สุด
ในช่วงให้วิ่งเองหรือช่วงวอร์มอัพ 1 อาทิตย์แรก แต่เป็นกลุ่มที่ วิ่งสม่ำเสมอทุกวัน ครบ 7 วัน ไม่ขาด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีชายอ้วนที่วิ่งได้เพียง 300 เมตร คนนั้นด้วย
แม้ตอนนั้นในวันแรกเค้าวิ่งได้เพียง 300 เมตร แต่จากการบันทึกของทีมงานพบว่า เค้าตื่นขึ้นมาวิ่งอีกในวันที่ 2 และวันที่ 3 และวันที่ 4 ถึงวันที่ 7 คือเขาตื่นมาวิ่งครบทุกวัน และทำตามที่คอร์ดระบุไว้ครบทุกวัน
ร่างกายคุณจะลืมระยะทางเดิมที่เคยวิ่งได้
เมื่อคุณผลัดวันนานๆหรือไม่
จริงๆแล้วร่างกายเรายังจดจำระยะทางที่เราเคยวิ่งได้ ในแง่ของความรู้สึกและความมั่นใจว่าเดี่ยวออกไปวิ่งใหม่ยังไงก็ต้องวิ่งได้ไม่น้อยกว่าเดิมอยู่แล้ว
แต่ในแง่ของความจำทางกายภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง กล้ามเนื้อ แขนขาเราจะยังคงจดจำระยะทางได้อยู่ หากเป็นเป็นการหยุดวิ่งในช่วงเวลาสั้น (ขอไม่บอกนพครับว่าก็วันเพราะ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านวิ่งสม่ำเสมอ ทุกวัน)
แต่หากคุณเล่นหยุดไปนานเป็นอาทิตย์ๆ ไปนั่งจิบกาแฟหลานแกติทุกวัน อันนี้ก็ต้องเรียนว่า เราคงต้องมาเริ่มต้นวิ่งกันใหม่ครับ แต่!
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นวิ่งใหม่ครึ่งนี้ก็ไม่ได้ยากเหมือนครั้งแรกเริ่มสักทีเดียว เพราะเรามีความจำในแง่ของความรู้สึก
เมื่อหยุดไปนานๆ จะมาต่อก็กลัวต้องเริ่มวิ่งใหม่หมด
เลยพลัดไปเรื่อยๆก่อน?
ข้อนี้ผมเชื่อว่าหลายคนเป็นคือเมื่อหยุดไปนานหลายๆอาทิตย์ ก็ไม่อยากที่จะมาสานต่อเพราะคิดโปรแกรมวิ่งมันพังไปแล้ว แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักทีเดียวเพราะอย่างที่กล่าวในย่อหน้าที่แล้วว่า แม้ความจำทางกายภาพหายไปแล้ว แต่ยังมีความควมจำทางความรู้สึกอยู่ ซึ่งที่จเป้นดั่งแสงนำทางให้ตุณรื้อฟื้นได้เร็วขึ้น
ในช่วงการกลับวิ่งใหม่หรือการรื้อฟื้นคุณไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เพอร์เฟคเหมือนตอนแรก อาจจะผสมกับการเดินบ้าง หรือหยุดยืดเส้นยืดสายบ้าง
แล้วพอหายเหนื่อยก็วิ่งต่อด้วยความเร็วเดิม เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับสภาพก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้อกไปวิ่งที่สวนสาธารณะที่มหาลัยกับพี่ๆ
ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่ได้วิ่งเลยหน้าจะเป็นปี และวันนั้นจึงเป็นวันแรกแห่งการรือฟื้นร่างกาย สิ่งที่ผมทำคือ ดันไปตั้งจุดหมายไว้เพอร์เฟคเกินไป คือกะจะวิ่งตามพี่ๆแบบไม่หยุดเลยจนกว่าจะถึงจุดพัก
ใช่ครับผมทำได้แต่ เมื่อถึงจุดพักผมกลับนอนราบกับพื้นความรู้สึกเหมือนต้องการออกซิเจนซัก 2 ถัง และพอดีว่าเย็นวันนั้นก็จะมีงานปาตี้ของพวกเราด้วย ซึ่งมีคนไปเยอะมาก
แต่อาการเหนื่อยและอาการเมื้อยตามขาของผมมันไม่บรรเทาลงเลยแม้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว สุดท้ายผมก็ได้ไปนั่งในปาร์ตี้ ที่จริงต้องเรียกว่าไปนอนในปาร์ตี้ดีกว่า ในสภาพที่ใช้แค่สายตาในการมีส่วนร่วม 5555
ต้องวิ่งไปแล้วกี่วัน เราจึงรู้สึกอยากจะออกไปวิ่งอัตโนมัติเป็นกิจวัตร
ตามรายงานระบุว่าเราค้องวิ่งอย่างน้อยเป็นเวลา 2 เดือน หลังจากนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองอีก
เพราะร่างกายจะจำได้ว่าเวลานี้คือเวลาวิ่ง แล้วต้องการให้มันเกิดขึ้นเองโดยที่คุณไม่เป็นจำเป็นต้องหาแรงจูงใจอะไรเลย คล้ายๆกับกฏ 21 วันครับ
โดยวันแรกๆเราอาจวิ่งตามระยะทางเท่าที่ไหวก่อน วันต่อๆไปค่อยปรับเพิ่มระยะทาง ไม่จำเป็นว่าในทุกวัน ต้องวิ่งในระยะทางเท่ากันนะครับ
เพราะเราไม่ได้พูดถึงความจำทางกายถาพ แต่พูดถึงนิสัยนั่นเองครับ คือมันเป็นการฝึกนิสัยนักสู้ครับ
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ไม่ใช้ว่าเราเสพติดการวิ่งจนไม่สนใจร่างกายนะครับ เพราะเมื่อกล้ามเนื้อเราสามารถเกิดอาการอักเสบได้เช่นกันจากการวิ่งติดต่อการนานๆโดยไม่หยุดพัก เราต้องบาลานซ์ตามหลักของ wellness นะครับ
ดั่งคำพูดของนักกายภาพบำบัดท่านหนี่งซื่อ Kerena Wu ที่กล่าวว่า slow and steady wins the race: ค่อยๆทำอย่างช้าๆแต่สม่ำเสมอ แล้วคุณจะสำเร็จ
ทริค ตัวเร่ง (นิสัย)
ความจริงมันก็พอมีทริคอยู่บ้างในการทำให้เราออกมาวิ่งอย่างสม่ำเสมอ มีงานวิจัยระบุว่า แค่แรงจูงใจจากการอยากลดน้ำหนักนั้น มันไม่พอ ไม่นาน เราก็มีข้ออ้างที่จำเป็นเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดอยู่ดี
เพราะฉนั้นจึงควรมีแรงจูงใจอื่นๆมาเสริมด้วย อย่างการให้รางวัลตัวเองทันทีหลังวิ่งได้ตามเป้า แม้มันจะเป็นทริคที่คลาสสิกก็ตาม แต่มีงานวิจัยบอกว่ามันได้ผลครับ
มันจะทำให้สมองเรารู้สึกว่าการวิ่งนั้นมันง่ายและสนุกมากขึ้น และข่าวดีก็คือ คนเรามึกจะกลับมาทำกิจกรรมที่ตัวเองรู้สึกสนุกอีกเรื่อยๆ : คำพูดของ Wendy Wood, นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย
การให้รางวัลตัวเองเป็นเสมือนจุดมาร์ค จุด หรือจุดจดจำ ในวันที่แรงจูงใจปกติในการลดน้ำหนักของคุณขาดช่วงไป ยิ่งไปกว่านั้นมันอาจช่วยเร่งให้คุณมีนิสัยชอบวิ่งเร็วขึ้นอีกด้วย
ตัวกระตุ้นอีกอยางหนึ่งคือ เสียงเพลง งานวิจัยบอกว่าเราจะอยากขยับร่างกายมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเพลง ดังที่เราเห็นว่ามีนักวิ่งหลายคนชอบใส่หูฟังไวร์เลสในตอนวิ่ง ผมเดาว่าเขาคงไม่ได้ฟัง podcast หรอกนะครับ
ตัวกระตุ้นสุดท้าย คือเมื่อคุณหุ้นดี คุณจะมีสเนห์มากขึ้นเป็นกอง มีโอกาสเจอคนออกเดทมากขึ้นแน่นอน

