ผมเคยมีโอกาสได้ไปศึกษาและใช้ชีวิตที่ยุโรป ณ ประเทศเยอรมนีอยู่พักหนึ่ง ความจริงก็หลายปีอยู่ครับ ซึ่งได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นมากมายหลายๆอย่าง วิถีชีวิตส่วนใหญ่ที่ผมเจอแรกๆ
เป็นวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมผมไม่คุ้นชินเลยแม้แต่น้อย มีทั้งที่ผมชอบและไม่ชอบถึงขั้นอยากหลีกเลี่ี่ยงเลยก็มี เจอ วัฒนธรรมเยอรมัน ที่สุดโต่งในบางเรื่องก็ทำให้คิดถึงประเทศไหยเลยก็มี
สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ปรับตัวได้ยากและหลายคนไม่ชอบในช่วงแรกๆก็เช่น อาหาร เรียกได้ว่ามันมีอาหารที่ไม่ถูกปากเลยหลายๆอย่าง (แต่บางคนอาจชอบก็ไู้ด้นะครับ)
แต่หนึ่งในวัฒนธรรมเหล่านั้นที่บอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมและเข้มแข็ง คือวัฒธรรมที่เกี่ยวกับครอบครังหรือสถาบันครอบครัว วัฒธรรมครอบครัวที่นั่นชี้ให้เห็นได้เลยว่าทำไมคนที่นั่นถึงได้มีคุณภาพขนาดนี้ ซึ่งเชื่อว่าเราสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างได้ดีเลย
ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสถาบันครอบครัวของเขา เพราะว่าผมสงสัยมาตลอดว่าทำไมเค้าถึงเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากจนาดนั้น และรู้ว่าความสำเร็จใดๆก็ต้องมากจากรากฐานๆเล็ก
ถ้าในแง่ของสังคมหรือประเทศ หน่วยที่เล็กที่สุดก็คือสถาบันครอบครัว
แยกห้องส่วนตัวให้เด็ก
คนเยอรมันจะชอบอยู่กันแบบเป็นครอบครัวขนาดเล็ก คือมีแค่พ่อแม่และลูก ส่วนปูย่า ตายายจะแยกอยู่อีกบ้านหนึ่งอย่างชัดเจน
ไม่ค่อยพวกเค้าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ อาจจะมาเยี่ยมมาหากันบ้างในวันหยุดนี่ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าคนแก่สามารถดูแลตัวเองได้ (ส่วนหนึ่งเพราะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ
เงินสำหรับค่าใช้จายในชีวิตประจำวันของผู้อายู่ มีมากพอในการอยู่คนเดียวได้สบาย) ที่น่าสนใจสุดๆ
คือแม้เค้าจะเป็นครอบครัวขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีการแยกโซนห้องส่วนตัวของเด็กตั้งแต่ยังเป็นทารก คือพ่อแม่กับลูกที่แม้เป็นเด็กเล็กก็จะแยกกันนอน เหมือนที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ฝรั่งเลยครับ
โดยอาจจะติดกล้องวงจรปิดในห้องเด็กไว้ สำหรับการคอยดูแลสอดส่อง โดยส่วนตัวผมคิดว่าการทำอย่างนี้เป็นเรื่องที่สำควรทำนะครับ เพราะจะทำให้เด็กมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความกล้าผจณภัย เรียนรู้สิ่งใหม่ๆด้วยตัวเอง
อย่างที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆว่าทำไมฝรั่งเค้ามีความกล้า บ้าบิ่น เพราะเค้าโดนเลี้ยงมาแบบนั้นครับ
ครั้งที่ผมไปเยอรมนีเดือนแรกๆ เวลาเห็นพ่อแม่พาลูกเล็กออกไปวิ่งเล่น ก็จะมีเหตุการณ์ที่เด็กวิ่งล้ม ตอนแรกผมแปลกใจมากว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่รีบวิ่งไปยกเด็ก
พวกเค้าปล่อยเด็กลุกขึ้นเอง แม้เด็กจะร้องเลียงขนาดไหน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่นั่นจึงรู้ว่าเป็นการฝึกเด็กให้กล้าช่วยเหลือตนเองครับ
บ่อยครั้งที่เด็กประถมที่นั่นเดินทางด้วยเครื่องบินหรือรถไฟเพียงคนเดียว แต่การทำแบบนี้ได้ก็ต้องยอมรับว่าเพราะสังคมเค้าเอื้ออำนวยหลายอย่างทั้งเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน
เด็กจะมีห้องส่วนตัวตั้งแต่เป็นทารก
ไม่ค่อยเห่อเด็กกัน
วัฒนธรรมเยอรมัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่เหมือนฝั่งเอเชีย คือการที่ผู้ใหญ่ที่นั่นไม่นิยมเห่อเด็กทารกหรือเด็กเล็กซักเท่าไหร่
แม้เด็กจะมีหน้าตาน่ารักขนากไหน พวกเค้าจะไม่เอาใจ และตามใจ (แต่ก็รักเด็กนะครับ) โดยปกติฝั่งเอเชียบ้านเรา
เราอาจจะเห็นกันบ่อยว่าเวลาญาติพี่น้องคนไหนพาเด็กทารกยิ่งหน้าตาหน้ารัก ผิวเนียนๆ จ้ำหม่ำด้วยแล้ว
ก้นแทบไม่ติดพื้นเลยเพราะจะมีคนแย่งกันอุ้มตลอดเวลา แต่สำหรับที่เยอรมนีจะไม่ค่อยเห็นแบบนี้กัน
แต่ไม่ใช่ว่าเค้าไม่มองเด็กเลยนะ ถ้าเป็นการเล่นเล่นจ๊ะเอ๋๋กับเด็กในที่สาธารณะ เช่นในรถไฟก็มีเป็นปกติ
แม้จะเป็นที่คนแปลกหน้าที่เดินผ่านๆมาเฉยๆ ไม่ได้รู้จักกันก็ตาม เค้าก็กล้ามาเล่นกับเด็กนะครับ เล่นต่อหน้าพ่อแม่เด็กกันเลย เป็นปกติ
โดยทั่วไปคนเยอรมันจะไม่เดินเข้าไปอุ้มเด็กกัน แม้จะเป็นลูกของญาติหรือของเพื่อนหรือเป็นหลานก็ตาม
ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันครับ แต่คิดว่าก็ดีนะเด็กจะได้ไม่ระคายเคือง และไม่รู้สึกว่าโดนโอ๋เกินไป
แต่ในทางวิชาการด้านการเชิงวัฒนธรรม ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าทำไมเค้ามีวัฒธรรมแบบนี้
ความเจ้าชู้ ไม่ค่อยมี
หัวข้อนี้ผมขอกล่าวถึงผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นวัฒนเยอรมัน
ที่ผมอยากเล่ามากที่สุดเลยครับ ขอพูดถึงผู้ชายเยอรมันผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวนิดนึงนะครับ
เพราะตัวผมก็เป็นผู้ชายเลยน่าจะเข้าใจถึงพฤตกรรมมากกว่า เข้าเรื่องเลยดีกว่า คือคุณพ่อบ้านที่นั่นจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากๆ
รับผิดชอบและแคร์สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวแบบสุดๆ
(ผมไม่ได้อวยนะครับ ส่วนใหญ่เขาจะเป็นแบบนั้นจริงๆถามใครก็ได้)
ไม่สำคัญว่าภรรยาเขาจะสวยหรือหน้าตาธรรมดา ก็จะได้รับความเอาใจใส่อยู่เสมอแม้จะเวลาผ่านไป ร่างกายหน้าตาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
ไม่ค่อยมีเหตุการณ์สามีหนีไปกุ๊กมีกิ๊สักเท่าไหร่
เรียกได้ว่าเลือกใครเป็นคู่ชีวิตแล้วรับผิดชอบจริงๆ ไม่รู้ว่าประเทศอื่นๆเป็นแบบนี้ไหมนะครับ อิอิ
สัมพันธ์ชีวิตคู่ยังดีเสมอ แม้วัยแก่ชรา
ภาพที่จะเห็นกันได้ชินตา ไม่ว่าจะเป็นบนทางเดินฟุตบาท สถานีรถไฟ สวนสาธารณะ คือการที่ผู้สูงอายุรุ่นคุณตาคุณยายเดินจับมือกันเป็นคู่
ดูแล้วช่างน่ารักจริงๆ แต่ก็อดสงสัยในใจไม่ได้ว่า เค้าไม่เขินกันหรืออายุก็ไม่ใช่น้อยๆกันแล้ว
ตอนนั้นผมลองจิตนาการว่าถ้าผมเป็นคุณตาตอนนั้นจะกล้าเดินจับมือแฟนในที่สาธารณะท่ามกลางผู้คนไหม
คุณล่ะกล้าทำไหมครับในรุ่นวัย 70 หรือความจริงแล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดามากๆ แต่เพราะผมไม่ค่อยได้เจอแบบนี้เองที่ผ่านมา
เลยคิดว่าไปเรื่องแปลกถ้าใช่ก็คงเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นชิน แต่ประทับใจสุดๆครับ
ถาพสามีภรรยาสูงวัยเดินจับมือกัน ที่มีให้เห็นได้ทุกวัน
สรุป
ผมเชื่อมาเสมอว่าการสังคมๆหนึ่งจะมีทิศทางเป็นอย่างไรนั้นหรือมีรูปแบบเป็นอย่างไรในปัจจุบันนั้น
พื้นฐานสำคัญของสิ่งนี้คือระบบครอบครัวของสังคมนั้นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ล่ะสังคมจะมีสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อวัฒนธรรมนั้นๆด้วย
เช่นการสร้างห้องให้ทารกอาจจะกระทำได้สังคมที่เศรฐกิจดีกว่า เป็นต้น
ซึ่งเชื่อว่ามันก็จะส่งผลต่อเนื่องกันคือ พอเศรษฐกิจดี เด็กทารกก็สามารถมีห้องส่วนตัวได้
พอมีห้องส่วนตัว ก็โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นตัวเอง สร้างสรรค์ idea ใหม่ๆ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นไปอีก ต่อๆกันไปเรื่อยๆได้
แต่อันนี้ไม่ได้บอกว่าเด็กมีห้องส่วนตัวจะทำให้เด็กสร้างสรรค์ idea ได้ 100% นะครับเป็นความคิดเห็นส่วนตัวเฉยๆ
แต่คิกว่าต้องส่งผลดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอนครับ ไม่งั่นเค้าน่าจะมีนโยบายเลิกสร้างห้องให้เด็กหมดแล้วใช่ไหมครับ (หรือเพราะพ่อแม่รำคาญเสียงร้องของลูก 5555)
และผมเชื่อว่าการที่เรานำวีธีปฏิบัติของเหล่าผู้นำมาปรับใช้ มันก็เป็นเรื่องที่น่ากระทำจริงไหมครับ
และนี่ก็เป้น วัฒนธรรมเยอรมัน ในแง่ของความสัมพันธ์ในครอบครัวนะครับ ก่อนที่เราจะไปมองความสำเร็จของสังคมเค้า ก็ควรมองย้อนไปดูหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมเค้าก่อนถูกต้องไหมครับ
หากคุณชอบวัฒนธรรมเยอรมัน เราได้นำเสนอการทานอาหารเช้าของคนเยอรมัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบทความของเราที่มีคนอ่านจำนวนมาก ลองเข้าไปอ่านกันดูนะครับ
