เมื่อคุณถามผู้คนว่า การทานอาหารให้สุขภาพดี หมายความว่าอย่างไร คุณก็จะได้คำตอบที่แตกต่างกันไปทุกครั้งที่ถาม
คนบางกลุ่มอาจตอบว่า คือการลดอาหารเร่งด่วนหรือฟาสฟู๊ด และทานพวกผักผลไม้ให้มากขึ้น และคนอีกกลุ่มอาจตอบว่า ลดปริมาณอาหารในแต่ละวันลง
กินแป้งน้อยๆ ตั้งกฏเหล็กขึ้นมาว่าจะกินเค้กมากสุดแค่ 1 ครั้งต่อเดือนก็พอ
หรือถ้าคุณไปถามคนที่มีโรคประจำตัวหรือแพ้อาหารบ้างชนิด คนกลุ่มนี้ก็จะมีทัศนคติต่อการกินอาหารสุขภาพดีในแบบของเขาโดยเฉพาะ
พูดสั้นๆได้ว่า จริงๆแล้ว มันไม่มีคำตอบมาตรฐานว่า การกินอาหารให้สุขภาพดีนั่นหมายความว่าอย่างไร
มันเป็นเรื่องของแต่ล่ะบุคคล เพราะแต่ล่ะคนมีความต้องการหรือความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน จำบทความเรื่อง การทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดเพื่อลดน้ำหนัก ได้ไหมครับ ที่กล่าวถึงทฤษฎีที่ว่า
กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปจะมีความสามารถในการย่อยอาหารหนึ่งชนิดไม่เหมือนกัน
โดยภาพรวม มันก็เป็นที่รู้กันดี ว่าอาหารอะไรดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ เช่นพวกน้ำหวาน เบเกอร์รี่ ฟาสฟู๊ด ของมัน คืออาหารที่ควรกินให้น้อยที่สุด
แต่ในด้านอาหารที่ดีต่อสุขภาพนี่สิ มันมีตั้งหลายอย่าง และบางคนก็เหมาะกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพแค่บางอย่างอีก ไม่ใช่ทุกอย่าง
เอาเป็นในบทความนี้เราขอนำเสนอวิธีหรือทัศนะคติการกินอาหารให้สุขภาพดีรูปแบบหนึ่งนะครับ อาจเป็นเพียงมุมมองเฉพาะ แต่เป็นแค่มุมมองหนึ่งเท่านั้น
เพราะมันเป็นเทคนิคที่น่าจะครอบคุมได้ในวงกว้าง โดยเราจะทำเป็นรูปแบบของ challenge
ต่อไปนี้คือ challenges 3 อย่าง ที่เราอยากให้คุณลองทำดูนะครับ
1. เลือกทานเพราะสารอาหาร ไม่ใช่รสชาติ
ข้อนี้คือให้คุณมีมุมมองที่ว่า การกินอาหารให้สุขภาพดีนั้น คือการกินอาหารโดยพิจารณาจากคุณค่าสารอาหารจะคุณจะได้รับก่อน ส่วนเรื่องรสชาติเอาไว้ที่หลัง
หรือถ้าจะเอาแบบหักดิบแล้ว ให้ลองเลือกอาหารเพราะคุณค่าทางโภชนาการอย่างเดียว รสชาติไม่เกี่ยวดูครับ (ถ้าทำได้ คือคุณสุดยอด)
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมต่อมรับรสชาติที่ลิ้นกับสิ่งที่ร่างกายต้องการถึงมักไม่สอดคล้องกัน กล่าวคือ ส่วนใหญ่แล้วปากเราจะชอบกินอาหารที่อร่อยๆ โดยที่อาหารอร่อยๆมักเป็นอาหารที่ไม่ค่อยดีกับสุขภาพ เช่นพวกของหวานและของมัน
นึกถึงไก่ทอดกับโคล่าดูสิว่ามันหอมหวานแค่ไหน ทำไมปากหรือลิ้นเราถึงชอบมันจัง และไม่ค่อยชอบผัก (โดยเฉพาะผักสดขมๆ) ซักเท่าไหร่
ความจริง เรื่องนี้เหมือนจะมีที่มานะครับ
เพราะเมื่อสมัยที่มนุษย์เรายังอยู่ในยุคโบราณ ยุคหิน หรือยุคมนุษย์ถ้ำ ยุคนั้นนานๆทีกว่าจะได้กินอาหารครั้งหนึ่ง เพราะตอนนั้นอาหารมีน้อย กว่าจะได้กินก็ต้องออกไปล่าเป็นวันๆ แล้วยังต้องเอามาแบ่งกันอีก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ยีนหรือเซลล์ของมนุษย์เลยถูกออกแบบมาให้ชอบอาหารพวกคาโบไฮเดรตกับไขมันเป็นพิเศษ เพื่อที่ร่างกายจะได้เก็บ กักตุนสารอาหารพวกนี้ไว้ในร่างกายในรูปแบบไขมัน ได้นานๆ
ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ถ้ามองในบริบทหรือสถานการณ์ในยุคนั้น ไขมันและแป้งถือว่าเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์เลยที่เดียว
แต่พอดีว่า โลกเรามันพัฒนาไปเร็วมากๆ อุตสาหกรรมอาหารเติบโตขึ้น จนมีอาหารเต็มไปหมด หิวเมื่อไหร่แต่จ่ายเงินไม่เท่าไหร่ก็กินได้พุงแตกแล้ว ทั้งของมัน ของหวาน และ ผักผลไม้ ก็หาได้สบาย
แต่สิ่งที่เปรับเปลี่ยนไม่ทันอุตสาหกรรมอาหาร คือพันธุกรรมหรือยีนของมนุษย์
ณ ปุจจุบันนี้ เรายังมียินแบบเดิมคือยีนที่ยังชอบกินไขมันและของหวานอยู่ ยีนเรายังเข้าใจว่ายังเป็นยุคเก่า หรือยินปรับตัวตามอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปเร็วมากๆไม่ทันนั่นเอง เพราะฉะนั้นการกินไขมันหรือของหวานครั้งละมากๆในยุคนี้ไม่ได้จำเป็นเช่นในอดีตอีกต่อไป
เพราะยุคนี้เราไม่ได้กินอาหารครั้งละสัปดาห์แล้ว แต่เราจะทานมันทุกวันๆหลายมื้อ และถ้าเป็นไขมัน ของหวานที่กินมันทุกวัน เพราะความอร่อย นั้นแปลว่าคุณสะสมพลังงานในตัวมากเกินไป เกืนความจำเป็น
และเมื่อพลังงานถูกอึดแน่นเข้ามากๆ มันคือระเบิดเวลาดีๆนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้เท่าทันความชอบของยีนหรือต่อมรับรสชาติของเรา ว่าที่จริงมัน out of date ไปแล้ว
เราก็สามารถลดปริมาณมันลงได้ โดยการกินอาหารอาจต้องขัดกับความต้องการตามสัญชาตญาณเดิม เพื่อสุขภาพที่ดี
แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้บอกว่ากินของมัน และของหวานไม่ได้เลยนะครับ ยังกินได้ แค่ต้องอยู่ในปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น ไม่มากเกินไป เช่นสิ้นเดือนจัดไก่ทอดซักครั้ง
เอาล่ะครับ ขอทวนอีกครั้ง
คำแนะนำของเราคือ ลองเลือกอาหารแต่ละครั้งโดยพิจารณาจากสารอาหารก่อน เรื่องรสชาติไม่เกี่ยวหรือเอาไว้ที่หลังดูครับ
2. วางแผนมื้ออาหาร
แน่นอนว่าการวางแผนมื้ออาหารถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและน่าเบื่อ และไม่ค่อยมีใครทำได้ เพราะถ้าทำได้ง่ายมันก็ไม่ใช่ challenge ถูกไหมครับ
การวางแผนมื้ออาหารอาจต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อทั้งการวางแผนเองและการเตรียมวัสถุดิบในการปรุงอาหาร แต่เอาจริงๆ สำหรับคนไม่มีเวลาในการทำอาหาร การสั่งอาหารหรือไปนั่งกินที่ร้านอาหารโดยมีเมนูที่วางแผนไว้แล้วในใจเป็นสเต็ปๆ ก็ถือเป็นการวางแผนมื้ออาหารเช่นกัน
เช่นมื้อนี้เราจะทานกระเพรา ต่อไปคือสลัด ต้มผัก อืม.. เดือนนี้ยังไม่ได้กินไก่ทอดเลย นั้นปลายเดือนไก่ทอดกับโคล่าสักมื้อ
การวางแผนมื้ออาหารนอกจากจะทำให้เราได้สารอาหารตามที่เราต้องการตามโภชนาการแล้ว เรายังสามารถรับรู้งบประมาณค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารล่วงหน้าได้ด้วย ยิ่งคุณวางแผนล่วงหน้าได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะทราบงบค่าใช้จ่ายในอาหารได้ล่วงหน้านานเท่านั้น
หรับคนที่อาศัยอยู่ใน กทม. ซึ่งมาค่าอาหารค่อนข้างแพง การวางแผนเรื่องอาหารหน่อย ก็ถ้าเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ
3. (ใช้ความขี้เกียจให้เป้นประโยชน์) วางผักผลไม้ไว้ใกล้ตัว หิวเมื่อไหร่หยิบได้เลย
ผักผลไม้เป็นอาหารที่เรามองว่ามีความจำเป็นน้อยกว่าอาหารคาว
สังเกตุว่าเมื่อเราหิว เราจะมีแรงกระตุ้นในการออกไปข้างนอกเพื่อหาอาหารคาวมากินซะมากกว่า เพื่อตอบสนองความหิว ไม่ค่อยมีหรอกที่เราหิวผักผลไม้จนต้องลงทุนออกไปซื้อมากินในเวลานั้น
เมื่อเราหิว เราจะนึกถึงอาหารคาวก่อน เพราะมันเป็นเรื่องสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทั้งที่ในทางโภชนาการแล้วผักผลไม้ก็สำคัญไม่แพ้อาหารคาวเลย
เพราะเหตุนี้ โดยความน่าจะเป็นแล้วเราจึงมักไม่ค่อยได้กินผักไม้สักเท่าไหร่ ไม่เป็นไรครับ วันเรามีวิธีแก้มาฝาก
อย่างที่ทราบว่า การที่ร้านผักผลไม้มันอยู่ไกลพอกับร้านอาหารคาว ซึ่งเราก็มักจะเลือกไปร้ายอาหารคาวก่อน เพราะฉะนั้นเราลองทำให้ผักผลไม้ใกล้เรามากๆดูครับ โดยหาผักผลไม้มาวางที่โต๊ะทำงานคุณดูครับ
หรือวางใกล้ๆบริเวณที่คุณอยู่ประจำ เมื่อคุณเริ่มหิวหรืออยากเคี้ยวอะไรสักอย่าง คุณจะมองหาอะไรที่ใกล้ที่สุดครับ เพราะมนุษย์มีความขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เทคนิคนี้เรียกว่ากฏการใช้ความขี้เกียจให้มีประโยชน์ครับ แล้วคุณจะได้ทานผักผลไม้มากกว่าที่คุณจะจินตการได้
